เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๗ ก.พ. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ เราฟังธรรมะเพื่อปัญญา ถ้ามีปัญญานะ ปัญญาการรู้แจ้ง ถ้าปัญญาการรู้แจ้ง รู้แจ้งในตัวของเราเองไง แต่ถ้าปัญญาทางโลก เขาว่าไม่เห็นแก่ตัวๆ เขารังเกียจมากนะ ถ้าคนเห็นแก่ตัว แต่เวลาธรรมะ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน มันไม่ใช่การเห็นแก่ตัว มันเป็นงานการรื้อภพรื้อชาติ ถ้างานการรื้อภพรื้อชาติ แล้วถ้าเราไม่มีงานการรื้อภพรื้อชาติ เราจะเอาสิ่งใดไปบอกเขา เราจะเอาสิ่งใด เราสงสัยไง ถ้าเราสงสัย เพราะเราสงสัย ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งมักมาก ยิ่งพยายามกว้านไว้เป็นของตัว จะไม่ได้สิ่งใดเป็นของตัวเลย เพราะมันไม่ใช่สมบัติของตัว มันเป็นสมบัติของสาธารณะ แต่ถ้าเป็น อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน มันไม่เห็นแก่ตัว เพราะอะไร เพราะตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เห็นไหม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาสมบัติของพระมีบริขาร ๘ เท่านั้น บริขาร ๘ นะ พระเราจะวิสาสะใช้บริขาร ๘ ของคนอื่นไม่ได้ แต่อย่างอื่นวิสาสะได้ บริขาร ๘ ต้องพินทุอธิษฐานเป็นของของตน ถ้าเป็นของของตนนะ มันเป็นสมบัติของตน ถ้าสมบัติของตน พระมีบริขาร ๘

นี่พูดถึงทางโลกนะ เวลาจนนะ หลวงตาท่านบอกว่าผู้ที่ทุกข์จนเข็ญใจมากคือหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านทุกข์จนเข็ญใจมาก เวลาหลวงปู่มั่นนิพพานนะ ในวัดมีเงินอยู่ไม่กี่ร้อยบาท ท่านไม่เอาสิ่งนี้เลย เพราะมันเป็นสมบัติของโลกไง แต่สมบัติของท่าน สมบัติของท่านนะ อัตตสมบัติ สมบัติในใจของท่านไง

เวลาว่าทางโลกๆ ทางโลกบอกว่าถ้าคนทุกข์คนเข็ญใจ ทุคตะเข็ญใจคือหลวงปู่มั่น มองทางโลกท่านไม่มีสิ่งใดเป็นเครื่องปรนเปรอความสะดวกสบายของท่านเลย แต่ท่านมีจิตใจที่ผ่องแผ้ว ท่านมีจิตใจ มีคุณธรรมในหัวใจ มีอัตตสมบัติในใจ

ถ้ามีอัตตสมบัติในใจ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนรักษาตนเองได้ ตนรื้อค้นเอาหัวใจของตนเองได้ นี่ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน มันไม่ใช่การเห็นแก่ตัว ถ้าการเห็นแก่ตัว สมบัติของตัว เรามองไม่เห็น แต่สมบัติข้างนอกไปกว้านมาๆ จะเอาสมบัติมาเป็นของเราทั้งหมดเลย แล้วสมบัตินั้นไม่ใช่สมบัติของตัวแม้แต่ชิ้นเดียว มันมีแต่ชื่อ ดูสิ เวลาเราแสวงหาขึ้นมา สมบัติๆ สมบัติมันสมบัติสาธารณะ ปัจจัยเครื่องอาศัยๆ พระเรามีบริขาร ๘ เพราะบริขาร ๘ มันเป็นสมบัติของพระ นี้สมบัติของพระ สมบัติทางโลกนะ

ถ้าสมบัติของพระทางธรรมล่ะ สมบัติของพระทางธรรม พระต้องมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ถ้ามีศีล ศีลคือความปกติของใจ ถ้าใจมันปกติแล้วองอาจกล้าหาญ มันเข้าสังคมไหนก็เข้าสังคมนั้นได้ ถ้ามีสมาธิ มีสมาธิมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข ถ้ามีปัญญา ปัญญาวิปัสสนา ปัญญาการรู้แจ้ง ถ้าปัญญาการรู้แจ้งมันแทงทะลุไปไง มันแทงทะลุไปที่ไหนล่ะ

ดูแทงทะลุสิ เขาเย็บผ้าเขาแทงทะลุไปในเนื้อผ้า นี่ก็เหมือนกัน ถ้าหาหัวใจของตัวเองไม่เจอ มันจะไปแทงทะลุที่ไหน มันส่งออกไปข้างนอก มันจะย้อนกลับเข้ามาได้อย่างไร มันไม่มีสมบัติอะไรของตัวเลย มันส่งออกไป

ทุกคนจะช่วยเหลือ เผยแผ่ธรรมๆ เพื่อช่วยเหลือคนอื่น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วถึงได้เผยแผ่ธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเทศน์ปัญจวัคคีย์ “เธอจงเงี่ยหูลงฟัง เธอจงเงี่ยหูลงฟัง” อยู่กันมา ๖ ปี ไม่ได้สอนเลย เวลาออกไปฉันอาหารของนางสุชาดาก็บอกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับไปเป็นผู้มักมาก มันมีการคัดค้านไว้ในหัวใจ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปเทศนาว่าการ นัดกันไว้เลยว่าจะไม่ฟังๆ จะไม่ยอมรับ

เวลาอยู่ด้วยกัน อยู่ด้วยกันมันก็รู้นิสัยกัน ๖ ปี อยู่ด้วยกันมา คลุกคลีกันมา ๖ ปี ถ้าไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ ไม่รู้ไม่มีอะไรสอนก็ไม่มีอะไรสอน เวลามีอัตตสมบัติ ดูสิ อาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เผยแผ่ เผยแผ่เพื่อความรู้จริงไง อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนไง ในบรรดาสัตว์ ๒ เท้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด ในบรรดามนุษย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด ประเสริฐที่ไหน? ก็ประเสริฐที่ในหัวใจนี้ไง ประเสริฐในหัวใจที่มีคุณธรรมนี่ไง ถ้าหัวใจนี้มีคุณธรรม นี่ไง เอาตัวรอดๆ เอาตัวรอดที่นี่ไง

ถ้ามันบอกเห็นแก่ตัวๆ เราก็บอกว่าเห็นแก่ตัว พอเห็นแก่ตัวแล้วเราก็ต้องมีใจเมตตา ใจกว้างขวาง ใจกว้างขวางไป แล้วตัวเองเอาตัวรอดไหม กว้างขวาง กว้างขวางที่ไหนล่ะ มันก็ต้องมีขอบเขตสิ ขอบเขตเราจะบอกเขาได้ว่าอะไรเป็นอะไร

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน มีสมบัติๆ สมบัติศึกษามาก็มีแต่ชื่อมัน ตัวมันไม่เคยเจอ สติก็ไม่เคยเจอนะ ลุกนั่งมีแต่ความผิดพลาดไปตลอดเวลา เวลาถ้ามีสติขึ้นมาแล้วมันเกิดสติขึ้นมามันก็เกิดปัญญา แล้วปัญญา ปัญญาในการรักษาศีล ปัญญาในการทำสมาธิ ปัญญาในการวิปัสสนา ปัญญาการรู้แจ้ง รู้แจ้งที่ไหน แล้วแทงทะลุ แทงทะลุไปในใจ ถ้าจิตมันสงบแล้วมันมีที่ทำงาน ที่ทำงาน สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน

เราแสวงหากันอยู่นี่ แสวงหา ออกธุดงค์ กรรมฐานต่างๆ ไปไหน? ก็ไปหาใจของตัวทั้งนั้นแหละ เราอยู่วัดอยู่วา เวลานั่งสมาธิขึ้นมาเราก็หาใจของเรานี่แหละ ถ้าหาใจของเราเจอ หาใจของเราเจอ ถ้าหาใจของเราเจอ มันมีความสุขมีความสงบเข้ามา สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี เรามาทำบุญกุศลอยู่นี่ก็เพราะเหตุนี้

เวลาความบีบคั้นทางโลก โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มีลาภเราก็ว่าสิ่งนั้นเป็นบุญกุศลของเรา มันเสื่อมลาภไป เราก็มีความเสียใจเป็นธรรมดา นี่มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ สิ่งนั้นมันเป็นโลกธรรม ๘ มันเป็นธรรมะเก่าแก่ มันมีของมันอยู่อย่างนี้ ถ้าเวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา เราก็ว่าสิ่งนั้นเป็นอนิจจังๆ แล้วกาลเวลานี้เป็นอนิจจังไหม แล้ววันเวลามันผ่านไปมันเป็นอนิจจังไหม ถ้ามันเป็นอนิจจัง มันเป็นทุกข์ไหม ถ้ามันเป็นทุกข์มันจะขวนขวายไหม ถ้ามันขวนขวายมันก็รีบกระทำ ถ้ารีบกระทำ วันเวลามันมีค่าทั้งนั้นแหละ เราจะไม่ปล่อยวันเวลาให้มันล่วงไป เห็นไหม

ยักษ์ตัวใหญ่ มืดกับสว่าง กินสัตว์ทั้งโลกเลย มีมืดกับสว่าง กาลเวลามันกินหมดแหละ ถ้ามันกินหมด เรายึดสิ่งนั้นไว้ เวลาเรายึดสิ่งนั้นไว้ เวลาจิตเป็นสมาธิ เวลามันจะล่วงไป แต่จิตเราสงบนิ่งของเราอยู่ ถ้าจิตสงบนิ่งของเราอยู่ เราหาที่ตั้งแห่งการงานได้ เราหาที่ตั้งแห่งการงาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน งานมันจะเกิดกับเรา ถ้างานมันเกิด อัตตสมบัติของพระนี่ไง พระหางานหาการกระทำ โลกเขาอาบเหงื่อต่างน้ำหามาเพื่อดำรงชีวิตของเขา พระเรานั่งสมาธิภาวนาหาอัตตสมบัติในใจของตัว ถ้าหาอัตตสมบัติในใจของตัว แล้วใจมันเอาไว้ได้ยากที่สุด

เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชื่อมันทั้งนั้นแหละ ชื่อบอกมา เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้เข้ามาที่ใจของเราทั้งนั้นแหละ ถ้าเวลาเราเข้ามาถึงใจของเราแล้ว สิ่งใดเราก็เข้าใจได้ สิ่งใดเราก็รู้ได้ ถ้ารู้ได้ รู้ด้วยสมุทัย รู้ได้ด้วยตัณหาความทะยานอยาก รู้ มีสมุทัยเข้ามาเจือปน มันก็รู้ด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันก็เป็นสัจธรรมไม่ได้ มัชฌิมาปฏิปทาไม่ได้ มันเป็นความสมดุลของมันไม่ได้

ถ้าความสมดุลของมัน เราก็ฝึกหัดของเรา ทำซ้ำทำซากขึ้นมา ทำความสงบเข้ามาแล้วคลายตัวออกมา คลายตัวออกมา เราก็พยายามมีคำบริกรรม ใช้ปัญญาอบรมสมาธิเข้าไป เข้าไปสู่ใจของตัว พอจะเข้าไปสู่ใจของตัว จิต ถ้ากิเลสมันยังไม่เข้าใจ กิเลสมันยังเพลิดเพลินของมันอยู่ เราก็มีสัจธรรม มีคุณธรรม เราสามารถปฏิบัติของเราเข้าไปได้ พอเข้าไปได้ พอเข้าไปถึงฐีติจิต กิเลสมันรู้สึกตัว รู้สึกตัวขึ้นมา มันกลัวธรรมะไง

มันทำสิ่งใดก็ได้ มันอ้อยสร้อยอ้อยอิ่งในหัวใจของเรา มันหลอกล่อเรา เราเป็นขี้ข้ามันมาตลอดเลย พอเรามีสติปัญญาเข้าไป เข้าไปถึงสัมผัสของตัวมัน มันสะดุ้ง มันรู้สึกตัวมัน นี่ไง มันกลัวธรรมๆ สัจธรรมนี้เข้าไปสัมผัสมันไง สัมผัสมัน เวลาเราสัมผัส ดูสิ เวลาเป็นสมาธิ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เราไปสัมผัส พอสัมผัสเข้าก็รู้ตัวใช่ไหม พอจิตมันคลายออกมา เพราะสรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง สมาธิมันคลายตัวออกมา พอจะทำเข้าไปนี่ทำได้ยากแล้ว เวลาส้มหล่นมันเป็นไปได้นะ เวลาส้มหล่น ทำอะไรมันฟลุก มันเป็นไปได้ เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมาทำอะไรไม่ได้เลย แล้วทำอะไรไม่ได้ นี่อำนาจวาสนาบารมีของคน ถ้าคนมีอำนาจวาสนาบารมีมันจะฝึกฝนๆ คำว่า “ฝึกฝน” นี่ชำนาญในวสี ชำนาญ

ถ้าคนไม่ชำนาญ ทำได้หนสองหน เคยทำได้ๆ เคยทำได้มันก็ฝังใจ เคยทำได้มันก็ฝังไว้ในหัวใจนั่นแหละ แต่จะทำอีกมันทำอย่างไรล่ะ จะทำอย่างไร ล้มลุกคลุกคลาน เพราะอ่อนด้อยไง พออ่อนด้อยถึงต้องมาสร้างอำนาจวาสนาบารมี ทำทานของเรา เราทำทาน ทำบุญกุศล คนที่มีบารมี บารมีมาจากไหนล่ะ คนที่มีบารมีเพราะเขาสร้างของเขา เขาทำของเขา เขาถึงมีอำนาจวาสนาบารมีของเขา เขาได้เสียสละของเขาไว้ เขาได้ทำของเขาไว้ คนก็ชื่นชมเขา คนที่ไม่เคยเสียสละ คนที่ไม่เคยสร้างไว้ก็อยากจะมีบารมี ถ้ามีบารมีขึ้นมา นี่จิตใจมีกำลัง มีพละขึ้นมา

พอมีพละขึ้นมา คำว่า “พุทโธ” คนที่มีพุทโธ พุทโธเขาก็ยับยั้งได้ ไอ้เราพุทโธ ๑๐ คำเรายังล้มลุกคลุกคลานเลย พุทโธสักแต่ว่า “เขาพุทโธ เราก็พุทโธ ทำไมเราไม่ได้เหมือนเขา”

จริตนิสัยการสร้างมา ถ้าการสร้างมา นี่ไง ถ้ามันมีกำลังขึ้นมา มันมีสติปัญญาขึ้นมา ถ้ามันเสื่อมคลายออกมา มันมีกำลังที่จะต่อสู้ มีกำลังที่จะลุกขึ้นยืน มีกำลังที่จะต่อสู้ได้ คนที่ไม่มีกำลัง พอเข้าไปสัมผัสแล้วก็ทำอีกไม่ได้ ทำสิ่งนั้นไม่ได้ ถ้าทำสิ่งนั้นก็ล้มลุกคลุกคลานอยู่อย่างนั้นแหละ

ถ้าว่าเห็นแก่ตัวๆ เห็นแก่ตัวมันก็ซุกไว้ ซุกกิเลสไว้ในหัวใจ แล้วก็หน้าชื่นตาบานออกไป แต่ถ้า อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนค้นคว้า ตนแยกแยะ ตนดูแลของเรา ในหัวใจของเรา มันสำคัญที่นี่ไง

เวลาเกิดตาย คนเกิดมาจากไหน เราเกิดมาจากพ่อจากแม่ ถ้าพ่อแม่ที่เลี้ยงดูมาดี ลูกก็ดีงาม ถ้าพ่อแม่เลี้ยงมาดีขนาดไหน ถ้าลูกมันเวรมีกรรมกันมามันก็มีความบกพร่องไปทั้งนั้นแหละ นี่เกิดจากพ่อจากแม่ มันเกิดจากกรรม เกิดจากกระทำ เกิดจากหัวใจนี้ หัวใจที่มันทำดีทำชั่ว ถ้ามันทำดีขึ้นมา เวรกรรมที่ทำมามันบาลานซ์กันมันก็เกิดเป็นลูก เป็นพ่อ เป็นแม่กัน นี่การเกิด ผลของวัฏฏะๆ ไง เวลาเกิด เกิดจากเวรจากกรรม เวลาเกิดเกิดมาจากไหน? ก็เกิดจากพ่อจากแม่...ก็ใช่เกิดจากพ่อจากแม่นี่แหละ แต่มันมีสายบุญสายกรรมมา

ดูสิ เรามีสายบุญสายกรรมมา ถ้าทางโลกเขาว่าเกิดมาชดใช้กรรม เกิดมาชดใช้กรรม แต่ถ้าทางธรรมนะ เกิดมาสร้างบารมี เกิดมาสร้างคุณงามความดี เกิดมาเพื่อบุญกุศลของเรา เกิดมา ถ้าใครมีอำนาจวาสนาเกิดมาเพื่อล้างภพล้างชาติ เกิดมาเพื่อถอนออกหมดเลย เพราะเกิดมาแล้วมีการกระทำไง เกิดมามีโอกาสไง ถ้าเราไม่ได้มีโอกาส เราทำที่ไหนล่ะ เราไปทำที่ไหน เราก็ศึกษามา ศึกษามาก็มีความรู้ ความรู้ก็ความรู้ของโลก นี่ความรู้ คนที่มีอำนาจวาสนา พระโพธิสัตว์ๆ ก็ศึกษาก็ค้นคว้ามา เวลาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วางธรรมวินัยนี้ไว้ พระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา ชำระล้างกิเลสในหัวใจของตัวไป สอนได้เมื่อมีชีวิตอยู่ แต่ไม่ได้วางรากฐานธรรมวินัยนี้ไว้

นี่ไง เราเกิดมา เราเกิดมาเป็นชาวพุทธ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ เป็นอริยทรัพย์นะ เราเอาอริยทรัพย์นี้มาสร้างอาชีพ เราเอาอริยทรัพย์นี้มาสร้างความมั่นคงของชาติตระกูลของเรา แล้วก็ตายไป แล้วตายไปก็มาเกิดเวียนว่ายตายเกิดทั้งนั้นแหละ

เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วเราก็มีโอกาสอำนาจวาสนาสร้างความมั่นคงของชาติตระกูลของเรา แต่ก็มีสติปัญญา มีสติปัญญา นี่เรื่องของชาติตระกูล สมบัติประจำโลก ดูสิสมบัติประจำโลก ดูสิ ประวัติศาสตร์เขามี ใครเป็นรัฐบุรุษ ใครเป็นผู้มีมหาราชต่างๆ ในโลกนี้ ประวัติศาสตร์เขาบันทึกไว้ แต่จิตดวงนั้นไปไหน จิตดวงนั้นไปไหน แต่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราทำหน้าที่การงานของเรา เราก็มีสติปัญญาของเรา เราพยายามเอาอัตตสมบัติ เอาสมบัติของใจ ถ้าพิจารณาได้ ภาวนาได้ เราสร้างตรงนี้ ทำตรงนี้เพื่อประโยชน์กับเรา

ถ้าความโลภ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนี้สำคัญมาก เพราะมันจะพึ่งไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพึ่งได้จริงๆ แต่เวลาสาวก-สาวกะได้ยินได้ฟัง ต้องมีครูบาอาจารย์คอยประคับประคองไป เพราะสิ่งที่ความรู้ความเห็นขึ้นมา มันด้อยวุฒิภาวะ มันเคลิบเคลิ้มไปหมด

แต่ถ้ามันมีสติมีปัญญา มันแยกแยะของมันได้ มันเข้าใจของมันได้ เพราะการเข้าใจของมันได้ ความเข้าใจ นี่ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา ถ้าเกิดจากการภาวนา มันฝึกฝนบ่อยครั้งเข้า มีความชำนาญมากขึ้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ ตทังคปหาน เราประหารด้วยความชั่วคราว เรามีสติมีปัญญาอยู่ เวลาทำสมาธิขึ้นมามีความสงบมีความร่มเย็นมันก็มหัศจรรย์พอแรงแล้วแหละ แต่ถ้ามันออกเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง เป็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ มันเป็นอริยสัจ มันเป็นสัจจะ เวลามันพิจารณาของมันไป โอ้โฮ! มันมหัศจรรย์ นี่ไง ตทังคปหาน มันปล่อยแล้วปล่อยเล่าๆ ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์คอยประคองไว้มันก็ยกย่องสรรเสริญตัวมันเอง นี่กิเลสมันบังเงา มันทำให้เราเกินเลยไป คิดจินตนาการมากเกินกว่าความเป็นจริง มันก็ไม่มัชฌิมาปฏิปทา มันก็ไม่สมดุลของมัน ไม่สมดุลของมัน มันก็ไม่มัชฌิมาปฏิปทา เห็นไหม

มัชฌิมาปฏิปทา มันสมดุลของมัน เวลามันขาด ตทังคปหาน-สมุจเฉทปหานมันแตกต่างกันอย่างไร สิ่งที่ชื่อมันก็แตกต่าง คุณภาพมันแตกต่าง ทุกอย่างมันแตกต่างหมดแหละ แต่คนที่ไม่เคยรู้เห็นก็ได้แต่ชื่อ ก็เอาชื่อมาฟาดฟันกันไง เอาชื่อมันมาประหัตประหารกันไง เอาชื่อมันมาแล้วก็เอาอารมณ์เข้าไปเปรียบเทียบไง แล้วก็เอาชื่อนั้นมาขัดแย้งกันไงว่าชื่อของฉันดีกว่า ฉันแยกแยะได้ดีกว่า เอาชื่อของมันมาขัดแย้งกัน แต่มันไม่มีเนื้อหา ไม่มีสัจจะความจริงไง

แต่ถ้ามีสัจจะความจริง ปฏิบัติไปแล้วความจริงที่มันเกิดขึ้น เกิดขึ้นจากคุณธรรม เกิดขึ้นจากการปฏิบัติ นี่อัตตสมบัติ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าตนเป็นที่พึ่งแห่งตนได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ไง ถ้ามันไม่มีที่พึ่งแห่งตน ลูบๆ คลำๆ กันไปนั่นน่ะ ลูบๆ คลำๆ ก็ลูบๆ คลำๆ ไปอย่างนั้น แต่ถ้ามันมีความจริงขึ้นมา ความจริงกลางหัวใจ นี่สัจธรรม

วันพระเราฟังเทศน์ฟังธรรม ฟังเทศน์ฟังธรรมก็เพื่อเป้าหมายไง ในเมื่อระยะทางระหว่างการเดินทาง มีทาน มีศีล มีภาวนา เราทำของเราไป ทำของเราไป สมบัติของเราทั้งนั้นแหละ สิ่งที่ทำ นี่กรรมไง กรรมดีไง ทำดีได้ดี ทำดีได้ดี เราทำของเรา ใครจะว่าสิ่งใดก็แล้วแต่ เรามีจุดยืนของเรา เราทำของเรา เรารู้ของเรา เราทำของเรา แล้วมันเป็นจริงของเราขึ้นมา ถ้ามันเป็นจริง มันมีแต่กิเลสมาเข้ามาคอยสอดไง “ทำดีแล้วไม่ได้ดี ทำดีแล้วมีแต่ความทุกข์ความยาก” อันนั้นกิเลสมันบังเงา

กิเลสมันบังเงา ความดีเรารู้ไง ถ้าความดีเรารู้ สิ่งที่กิเลสมันเข้ามา “กิเลส เอ็งหลบไปข้างทางซะ” เรามีสติปัญญา ถ้ามีสติปัญญามันไปของมันได้

ถ้ามันไปไม่ได้ เรื่องการกระทำมันเป็นวัตถุนะ มันเป็นอามิส เวลานั่งสมาธิภาวนา เวลาเวทนามันเกิด เวลาความโต้แย้งในใจมันเกิด เวลามันน้อยเนื้อต่ำใจ เวลาที่มันผลักไส นั่นแหละสำคัญกว่านี้อีก มันสำคัญกว่านี้อีกถ้ามันต่อสู้กันระหว่างกิเลสกับธรรมในใจ อันนั้นจะเห็นน้ำหนักของมันเลยว่ามันหนักหนาสาหัสสากรรจ์ขนาดไหน ฉะนั้น แก่นของกิเลสไง

จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดไม่มีต้นไม่มีปลาย มันได้สะสมของมันมาจนจะเป็นเนื้อเดียวกัน แต่ถ้ามันมีสติมีปัญญา เวลามันชำระแล้วมันคายออกไปแล้ว มันได้ชำระล้างสังโยชน์เครื่องร้อยรัดออกไปจากจิต เครื่องสังโยชน์มันเห็นชัดๆ มันเห็นชัดๆ มันถึงเป็นความสมดุลไง มันถึงเป็น อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ไง มันถึงเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกกับใจดวงนั้น เอวัง